

วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ณ โรงสีข้าวทุ่งรวงทอง ตำบลชะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ชาวนาในพื้นที่นำโดย นายสมโภช โชติชูช่วง อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่, นายกฤษศักดิ์ดา เสน่หา สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดสงขลา และ นายปรีชา สุขเกษม ได้ร่วมกันรวบรวมและสีข้าวสารจำนวน 1,000 กิโลกรัม (1 เกวียนแรก) พร้อมนำผ่านพิธีปลุกเสกโดย พระอาจารย์คลังแสงธ์ ปัญญาพโล เจ้าอาวาสวัดเขากุฏิ พระนักปฏิบัติสายกรรมฐานชื่อดัง ซึ่งปิดวาจามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 และมีศิษยานุศิษย์เลื่อมใสทั้งในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย
ข้าวสารดังกล่าวได้ส่งมอบผ่าน พลตรีปกรณ์ จันทรโชตะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ.42) เพื่อส่งต่อไปยัง แม่ทัพภาคที่ 2 สำหรับมอบให้แก่ทหารกล้าในแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อเป็นสิริมงคล และสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ



ก่อนการส่งมอบ พระอาจารย์คลังแสงธ์ ได้ทำพิธีปลุกเสกและพรมน้ำมนต์ พร้อมกล่าวฝากข้อคิดแก่เหล่าทหารชายแดนว่า
แม้สถานการณ์จะคลี่คลาย ไม่มีการรบแล้วตามที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายตกลงกัน แต่ทหารก็ยังต้องยืนหยัดดูแลฐานที่มั่น ข้าวสารที่ส่งไปนั้นมิใช่สิ่งไร้ค่า หากแต่เป็นการแสดงพลังศรัทธาและความรักชาติ ขออนุโมทนากับทุกคน และขอชื่นชมในความสามัคคีของพี่น้องประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจกันส่งมอบกำลังใจให้ทหารแนวหน้า”
ด้าน พลตรีปกรณ์ จันทรโชตะ กล่าวว่า พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา มีลักษณะการปะทะที่แตกต่างจากพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพราะฝ่ายตรงข้ามที่ชายแดนตะวันออกมีลักษณะชัดเจน ซึ่งเรามีความพร้อมในการรับมืออย่างมั่นใจ การสนับสนุนของประชาชนในครั้งนี้ ถือเป็นพลังใจที่สำคัญ เป็น ‘เครื่องดื่มชูกำลังทางใจ’ ที่ช่วยให้ทหารรู้ว่าพวกเขาไม่ได้สู้ตามลำพัง แต่มีพี่น้องคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้าง”



ทั้งนี้ ข้าวสารทั้งหมดจะถูกลำเลียงไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารแนวหน้า พร้อมรายงานถึงน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวสงขลา ที่ได้รวมพลังแห่งศรัทธาในการสนับสนุนภารกิจของกองทัพไทยอย่างเต็มที่
เราขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมสร้างกำลังใจให้เหล่าทหารกล้าของเรา และยืนยันว่า เราจะไม่ยอมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติอย่างแน่นอน” — พลตรีปกรณ์ กล่าวย้ำในช่วงท้าย